เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ต.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมะคือสัจธรรม ความจริงคือความจริง ถ้ามีสตินะ มีสติ เราจะเห็นความจริงไปตลอด สติ มหาสติ แต่คำว่า “สติ” เวลากรรมมันให้ผล ถ้ากรรมมันให้ผลถึงคราวกรรมมันให้ผล กรรมของมันเอง แต่สำหรับเรา สำหรับคำว่า “สติปัญญา” มันก็คือสติปัญญา มันไม่มีสิ่งใดที่มันแปลกประหลาดเลย มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้ ถ้ามันเป็นของมันอยู่อย่างนี้ แต่ขณะที่ว่ามันหมุนไปนะ เราคิดถึงหลวงตา คิดถึงหลวงตาที่ท่านพิจารณาของท่านไป

เวลาพิจารณาของท่านไป แล้วเวลามันชนะแล้ว ท่านบอกว่า เรากลัวเสือเรากลัวสางอยู่ในป่า เวลาถ้าเราพิจารณาของเราไปแล้ว เวลามันกล้าหาญมันจะกล้าหาญมาก มันจะรู้มันจะเห็นของมันตามความเป็นจริงของมัน แล้วจิตจะเป็นของจริงของมัน ท่านจะรู้เลย

เพราะเวลาเราอยู่ในรถ มันสโลว์โมชัน แล้วจิตมันบอกเลย “ไม่เป็นไร” จิตมันพูดเอง “ไม่เป็นหรอก ไม่เป็นไร” มันหมุนของมันไป เราเห็นหมดนะ “ไม่เป็นไร” มันพลิก ๒ ชั้น ๓ ชั้น มันพูดเองว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”

คำว่า “ไม่เป็นไร” มันเหมือนที่เราภาวนามา เวลาเราภาวนามานะ เวลาจิตเราสงบแล้ว เวลาเราพิจารณาด้วยปัญญา เวลาเกิดมรรคมันจะเป็นอย่างนี้ ถ้าเกิดมรรคนะ มันจะเกิดปัญญา เกิดธรรมจักร จักรมันจะเคลื่อนของมัน ปัญญามันจะหมุนของมัน ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ถึงเวลาวิกฤติ ปัญญามันหมุนของมัน จิตมันตอบเอง “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอก รอให้รถมันหยุด” แล้วมันหยุดจริงๆ แต่ที่มันเห็น มันเป็นอยู่อย่างนี้มันเป็นเพราะว่ากระดูกมันอ่อนแออยู่ มันโดนกระชากแรง ถ้ากระชากแรงก็เป็นไป

จบมันคือจบ ถ้าจบแล้วก็คือจบ แต่เวลาเหตุการณ์ออกมาดูข้างนอกแล้วมันวิกฤติ มันวิกฤติเพราะอะไร เพราะว่าทุกคนก็บอกว่ารอดมาได้อย่างไร รอดมาได้อย่างไร เพราะมันมีตอไม้หลายตอมาก แล้วมันชนตอไม้ ยางรถแตกหมด ทุกอย่างแตกหมด มันลอยหมดเลย

จะบอกว่า สิ่งที่เป็นโลกๆ เราดูทางวิทยาศาสตร์มันเป็นสิ่งที่มันผ่านมาไม่ได้ วิทยาศาสตร์มันพิสูจน์แล้วด้วยแรงเหวี่ยงของมัน เพราะแรงเหวี่ยงมันเหวี่ยงแรงมาก เพราะบรรทุกแต่ข้าวสาร ความเร็วของมันด้วย แล้วน้ำหนักของรถด้วย แล้วบรรทุกเต็มจำนวนของมันด้วย ความแรงของมัน มันจะแรงมาก มันเป็นไปได้อย่างไรว่า ๒ คนไม่เป็นอะไรเลย

แต่โดยในสัจธรรมของเรา เวลามันเกิด เริ่มต้นตั้งแต่มันวูบ ๒-๓ ทีแรกแล้ว แล้วพอมันขึ้นคอสะพาน มันสะดุด มันลอย พอมันลอย มันตกใจ พอตกใจมันก็เหยียบคันเร่ง เหยียบคันเร่งมันก็ลงข้างทาง ร้อง “อุ๊ยๆ” เขาพยายามจะแก้ไข เราเห็นอยู่ เขาพยายามจะแก้ไข แต่เขาแก้ไขไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่ชำนาญ พอไม่ชำนาญขึ้นไปแล้ว ด้วยแรงส่งของมันไปทั้งหมด ทีนี้มันก็เป็นเรื่องของบุญของกรรมแล้ว มันไปตามประสามัน มันหมุนของมันไปด้วยแรงเหวี่ยงของมัน

สุดท้ายแล้วจิตมันเห็น มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ว่ามันเหมือนกับมรรคมันเคลื่อนตัว มรรคมันหมุนของมัน มรรคมันหมุนของมัน ถ้ามรรคมันหมุนของมัน มันเห็นอย่างนี้เลย เวลาภาวนามันจะเห็นมรรค ธรรมจักรมันเคลื่อนอย่างนี้

นี่ก็เหมือนกัน ปัญญามันเคลื่อนอย่างนี้ ความเร็วของรถมันจะเร็วมาก แต่ในสายตาของเราเหมือนสโลว์โมชัน เห็นอาการมันเป็นไปหมดนะ เห็นอาการทุกอย่างเป็นไปหมดเลย แล้วจิตมันก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร”

เหมือนกับหลวงปู่มั่นเวลาท่านป่วยแล้วท่านเข้าที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค หมอบอกว่าไม่มีโอกาสรักษา ตอนนั้นท่านเป็นชั้นธรรม ที่สมเด็จมหาวีรวงศ์ไปบอกพระผู้ใหญ่ไง บอกว่าไม่รอดแล้วแหละ หลวงปู่มั่นหมดโอกาสแล้ว แล้วหน้าเสีย มาหาหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นบอกว่า “เขาบอกว่าต้องตายใช่ไหม...ไม่ตาย” เอาออกจากโรงพยาบาลไป แล้วท่านก็ไปกำหนดของท่าน ไม่ตาย ออกจากเชียงใหม่ไปไม่ตาย แต่เวลาท่านมาที่หนองผือ ทุกคนอยากจะให้หาย ท่านบอกว่าคราวนี้ตาย

ถึงเวลามันเป็นวาระของมัน เวรกรรมมันเป็นวาระของมัน ถ้าวาระของมันมา มันมา แต่เวลาดูในพระไตรปิฎก ผู้ที่มีอิทธิบาท ๔ จะอยู่อีก ๑ กัปก็อยู่ได้ จะอยู่เท่าไรก็อยู่ได้ ถ้าอิทธิบาท ๔ ในเมื่อจิตมันจะออก อิทธิบาท ๔ นะ จิตตะ วิมังสา ในเมื่อจิตตะ ตัวจิต ตัวพลังงานถ้ามันอยู่กับเรา นี่คือตัวพลังงาน แล้วถ้ามันเคลื่อนออกไป จิตเป็นตัวพลังงาน แล้วถ้ามันเป็นตัวธรรมแล้ว ตัวธรรมมีสติปัญญาพร้อม มันจะเข้ามันจะออก มันรู้ทันของมัน ถ้ามันปล่อยมันก็ไป ถ้ามันไม่ปล่อยมันก็ไม่ไป ถ้ามันไม่ปล่อย เห็นไหม ฉะนั้น มันไม่ปล่อยมันก็ไม่ไป นี่พูดถึงผู้มีอิทธิบาท ๔ นะ แต่ผู้ที่มีปัญญา ปัญญามันจะรู้แจ้งของมันอย่างนี้

จะบอกว่า จิตเวลามหัศจรรย์ มหัศจรรย์ขนาดนี้ มหัศจรรย์มันเกิดมาจากไหนล่ะ? ก็เกิดมาจากเรานี่แหละ เกิดมาจากจิตของเราที่มันลุ่มๆ ดอนๆ ถ้าจิตเราลุ่มๆ ดอนๆ เราตกใจไปหมด สิ่งใดถ้ามันตกใจ ถ้าตกใจมันก็ไปกับเขา ดูสิ เวลานกมันลงเกาะบนต้นไม้ มันจะลงเกาะแบบนุ่มนวลมาก เวลามันจะไปนะ เวลามันจะดีดตัวออกไป ต้นไม้จะสั่นไหวไปหมดเลย

จิตใจของเราถ้ามันสั่นไหวไปมันก็เหมือนนกมันจะดีดตัวออกไป มันไม่รู้ที่มาที่ไป ต้นไม้นั้นเคลื่อนสั่นไหวไปหมด ใบไม้จะสั่นไหวไปหมด ถ้ามันตกใจมันก็ไปตามผลของวัฏฏะอย่างนั้น แต่ถ้าเรามีสติปัญญา มันต้องมีการฝึกไว้ ถ้าเราไม่ฝึกไว้ เจอเหตุการณ์เฉพาะหน้าเราแก้ไขสิ่งใดไม่ได้ เหตุการณ์เฉพาะหน้าเราแก้ไขไม่ได้เพราะเราไม่ใช่เป็นคนควบคุม แต่มันบอก “ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร” มันหมุนของมันไป มันหมุนของมันไป เพราะว่ามันต้องใช้วิบาก มันต้องให้จบกันไป ถ้าวิบากมันจบไปแล้วก็คือจบ แต่ด้วยคุณธรรม คุณธรรมมันรองรับสิ่งนี้ไว้ มันก็จบไป

ฉะนั้น สิ่งนี้มันย้อนกลับมาให้เห็นว่าในการประพฤติปฏิบัติมันมีคุณค่าอย่างนี้ จิตใจของเรา ถ้าเราไม่มีที่พึ่งอาศัย มันจะตกใจ แล้วมันจะมีความน้อยใจเสียใจไปกับอาการอย่างนั้น แต่ถ้ามันเป็นคุณธรรม มันเป็นสัจธรรม เห็นไหม มันเป็นแบบนี้ แต่มันเหนือโลก เหนือโลกที่ว่ามันพ้นไปได้ด้วยบุญกุศล ด้วยธรรมมันพ้นไปได้

ถ้ามันชนตอ มันก็แหลกไปทั้งคัน นี่มันไป มันเสยตอ มันชนนะ เพราะยางมันแตก แล้วลอยขึ้น ลอยขึ้นไปเลยนะ หมุนเลย หมุนอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วพลิกกลับมาหมุนอยู่อย่างนั้นแหละ มันหมุนอยู่ ๒ รอบ ๓ รอบ

อันนี้มันเป็นวิกฤติที่มันเกิดขึ้น ถ้าหัวใจมันดีมันก็ดีไปประสามัน เราจะให้เห็นว่า เราทำบุญกุศล บุญกุศลมันจะส่งเสริมเรา ถ้าส่งเสริมเรา มันมีการแคล้วคลาด มีต่างๆ ก็แคล้วคลาดนั้นไป แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา มันมากกว่านั้น มากกว่านั้นคือว่าเราไม่ตื่นเต้น ไม่สนใจสิ่งนั้นไป ถ้ามันจะเป็นอะไรก็เป็น

เรานั่งอยู่ในรถ เราเห็น เราพยายามคิดอยู่ในใจว่าไม่ให้คนของเรามีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหลุดออกไปจากตัวรถ ถ้าหลุดออกไปจากตัวรถนะ มันบดไปกับถนน มันต้องขาด แต่ถ้าเราไม่มีอะไรหลุดออกไปจากตัวรถ ไม่มีปัญหา แล้วรถมันแข็งจริงๆ มันไม่มีสิ่งใดหลุดออกไปจากตัวรถเลย ไม่มีอะไรหลุดออกไปมันก็ไม่มีการบดไป มันก็อยู่ข้างในของมัน ถึงที่สุดมันจอดแล้วเราออกมา

ความเจ็บนะ มันเจ็บพอสมควร แต่มันไม่เจ็บเหมือนกับคราวที่ยกต้นมะพร้าวนั้น คราวเจ็บอย่างนี้ ในใจของเราที่เราไปตรวจก็เพื่อความสบายใจของโยมเท่านั้น จริงๆ ในใจเรา เราจะกลับวัด เราจะไม่ไปไหนหรอก นี่ก็เหมือนกัน หมอนัดนี้อาจจะไม่ไป เพราะหมอบอกว่า ๔ อาทิตย์ ถ้ามัน ๔ อาทิตย์แล้วก็หาย นี่ก็ถือว่าหาย ถ้าเราหายปวด เราก็ถอดไอ้นี่ออก แล้วก็คือจบ

เราคิดว่าเราจะกลับวัดเลย เราไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่เพราะด้วยความสบายใจของญาติโยม อ้าว! ไปตรวจไหนก็ไปตรวจ ตั้งแต่อยู่ที่นั่นแล้วเขาบอกให้ไปโรงพยาบาลอู่ทอง เราก็รอพรุ่งนี้ ถ้าไปโรงพยาบาลอู่ทอง พวกนี้ไปแล้วมันจะมีปัญหา เรารู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวพวกนี้มาต้องไปโรงพยาบาล เราก็ไป ไปเช็ค ไปเช็คเพื่อความสบายใจ แต่มันก็ไปเห็นเข้า มันก็เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ถ้าถึงเวลาแล้วนะ

เวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านบอกว่าหลวงปู่ขาวท่านเคยเหาะ จีไอที่เขาขับเครื่องบินเขาเห็น เขาเห็นว่าหลวงปู่ขาวเหาะ แล้วเขาก็ให้แฟนเขาพาไปหา บอกองค์นี้เหาะ หลวงปู่เจี๊ยะก็นั่งฟังด้วย พอหลวงปู่เจี๊ยะนั่งฟังด้วยนะ พอตกค่ำ หลวงปู่เจี๊ยะไปทำข้อวัตร ถามหลวงปู่ขาว “ครูจารย์ๆ เหาะได้อีหลีบ่”

“เหาะได้”

ท่านเหาะของท่านได้ นี่พูดกันโดยวงกรรมฐาน วงภายใน

แล้วหลวงปู่เจี๊ยะก็ถามว่า “แล้วเดี๋ยวนี้ยังเหาะได้อยู่บ่ ในปัจจุบันยังเหาะได้อยู่บ่”

ท่านบอกว่า “เดี๋ยวนี้เฒ่าแล้วว่ะ”

คำพูดอย่างนี้คนไม่เข้าใจ “เดี๋ยวนี้เฒ่าว่ะ” พอเฒ่าแล้ว เพราะว่าเราจะเข้าสู่อภิญญา ๖ อภิญญา เห็นไหม อภิญญา ๕ การรู้วาระจิตต่างๆ มันต้องใช้กำลังของมัน เว้นไว้แต่ขิปปาภิญญา อย่างเช่นพระอนุรุทธะ พระอนุรุทธะท่านจะเป็นปกติของท่าน ปกติคือว่าความรับรู้สึกเราเป็นปกติธรรมดา แต่คนที่ไม่มีเขาต้องใช้กำลังของเขาเพื่อเข้าฌานสมาบัติ เข้าฌานสมาบัติแล้วน้อมจิตไป น้อมจิตไปต้องการเหาะเหินเดินฟ้า ต้องการรู้วาระจิต ต้องการกำหนดรู้ต่างๆ เขาต้องใช้กำลังของเขา ถ้าหนุ่มๆ มันทำได้ง่ายไง ถ้าหนุ่มๆ มันทำได้ง่าย แต่นี้มันเฒ่าแล้วว่ะ

เมื่อก่อนหนุ่มๆ ทำได้ทั้งนั้นแหละ จะทำอย่างไรก็ได้เพราะหนุ่มๆ แต่พอชราคร่ำคร่าขึ้นมา กำลังมันน้อยลง ท่านบอกเดี๋ยวนี้ทำไม่ได้แล้วว่ะ ท่านพูดกับหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าให้เราฟังทุกอย่าง ครูบาอาจารย์ที่ท่านพูดสิ่งใดมา เราจับประเด็น เราจับได้ เพราะเราก็พยายามจะฝึก จะทดสอบ พยายามจะทำตัวเรา มันต้องทดสอบ กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ความเชื่อ เชื่อตามกันมา มันไม่เป็นประโยชน์ เราทำสิ่งใด ใครทำสิ่งใดได้ เราทำของเรา

ฉะนั้น เวลาบอกว่า สิ่งที่มันชราคร่ำคร่า เราจะกำหนดเพื่อธรรมโอสถ เพื่อให้ธรรมะรักษา เวลาธรรมะรักษา ธรรมโอสถรักษาได้ถ้ากำลังเข้มแข็ง เวลาคนไปถามหลวงตา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ถามว่าต้องไปหาหมอไหม หลวงตาบอกว่า ถ้าเข้มแข็ง ถ้าจิตใจเข้มแข็ง ธรรมโอสถรักษาได้ แต่ถ้าอ่อนแอนะ ไปหาหมอซะ เพราะว่าจิตใจเราไม่เข้มแข็งพอ โรคมันจะลุกลามต่อไปเรื่อย แล้วเวลาไปหาหมอ หมอก็จะบอกว่ารอจนป่านนี้ค่อยมา

ถ้าจิตใจเราไม่เข้มแข็งพอ เราไปหาหมอซะ หมอก็รักษาตามนั้น แล้วเราทำใจของเรา เราพยายามพุทโธของเรา มันก็มีที่พึ่งอาศัย แต่ถ้าจิตใจเราเข้มแข็งนะ ธรรมโอสถ ทดสอบเลย ด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วย เราใช้ธรรมโอสถมาบ่อยมาก ตั้งแต่ตอนปฏิบัติ เพราะตอนนั้นปฏิบัติ

๑. จะสู้กับกิเลสด้วย

๒. จะทดสอบด้วยว่าธรรมะมันเป็นจริงหรือเปล่า ถ้าไม่จริง หลวงตาท่านพูดบ่อย ถ้าใครปฏิบัติไปมันไม่ได้จริงตามนั้น จะพาไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพูดอย่างนั้น แต่เวลาคนปฏิบัติ ปฏิบัติพิสูจน์ตามความจริงให้มันเป็นความจริงขึ้นมา

ฉะนั้น เวลาเราจะต่อสู้กับกิเลสเราด้วย เวลาเราภาวนาไป เราอยากจะเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันไม่เห็น เจ็บไข้ได้ป่วย นั่นล่ะ นั่นล่ะเป็นต้นเหตุ นั่นล่ะที่เราจะพิจารณาได้ ฉะนั้น เจ็บไข้ได้ป่วย ต่อสู้เรื่องนี้มาเยอะ ทดสอบมาเยอะ แต่ตอนนั้นมันหนุ่มๆ ตอนนี้มันแก่แล้ว ตอนนี้มันแก่แล้ว ถึงไปหาหมอให้หมอพิจารณาให้เรารู้ว่ามันเป็นอย่างไร

แต่ก่อนหน้านั้นเราทำของเราไปด้วย ปวดที่ไหนกำหนดที่นั่น เป็นอะไรมากำหนดที่นั่น แต่นี่ไปเห็นแล้วรอยมันแตกหมด ถ้ามันแตกหมดนะ ปวดไหม? ปวด แต่ไม่รุนแรงเท่าครั้งนั้น แล้วหมอมันก็เห็นด้วยว่าครั้งนั้นทรุดลงไปครึ่งท่อนเลย แต่คราวนี้แค่แตกเฉยๆ แตกต่างกันเยอะมาก

แต่ถ้าธรรมโอสถนะ เราทำของเราได้ แต่อันนี้มันแก่มันเฒ่า แล้วตอนนั้นอยู่คนเดียว ทำอะไรมันก็ได้ แต่ตอนนี้ภาระมันเต็มไปหมด ภาระรับผิดชอบทั้งนั้น จิตมันต้องทำงานตลอดเวลา เวลาคิด เวลานึก เวลาบริหารจัดการ มันออกมารับรู้ทั้งนั้นแหละ มันเข้าไปสู่ความสงบความเป็นจริงไม่ได้ นั้นเวลาคนภาวนาเป็น

ถ้าคนภาวนาเป็นนะ ฟังคนที่พูด ฟังคนขี้โม้ ที่มันโม้ มันสำรอกธรรมะอะไรออกมา โกหกทั้งนั้น โกหกทั้งนั้น มันไม่จริงหรอก เพราะความจริงต้องเป็นอย่างนี้ หลวงปู่ขาวท่านพูด เห็นไหม

“เมื่อก่อนเหาะได้บ่”

“ได้”

“แล้วป่านนี้ล่ะ”

“ป่านนี้เฒ่าแล้วว่ะ”

เราก็คิดเลย คนเหาะได้ก็ต้องเหาะได้ตลอดไปใช่ไหม ในเมื่อท่านเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านไม่ใช่เอตทัคคะ ท่านไม่ชำนาญการ ถ้าเป็นเอตทัคคะชำนาญการ ความชำนาญการเหมือนกับโดยปกติธรรมดา แต่ถ้าไม่ใช่เอตทัคคะทำได้ไหม? ได้ ต้องใช้กำลัง ต้องมีกำลังของเรา พลังงานตรงนี้ทำได้ทั้งนั้นแหละ แต่ตอนนี้เฒ่าแล้วว่ะ ตอนนี้ไม่ได้ทำ แต่ทำหรือไม่ทำ อันนั้นมันเป็นความปลีกย่อย มันเป็นจริตนิสัย มันเป็นอภิญญา มันไม่ใช่อริยสัจ มันสำคัญที่เราต้องอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณ มรรค มรรคสามัคคี เวลามันสมุจเฉทปหาน เราได้ผลประโยชน์กันตรงนี้นะ

เราทำบุญกุศลเพื่อบุญกุศล เพื่อคุณงามความดีของเรา เพื่อสร้างอำนาจวาสนาบารมี แต่ถ้าเราจะพ้นจากทุกข์ไป เราต้องใช้สติปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา อันนี้สำคัญ ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา แม้แต่ทางโลกเราก็แก้ไขปมชีวิตของเรา มีความเดือดร้อนในครอบครัว เราก็มีสติปัญญาแก้ไขสิ่งนั้นมา นั้นแก้ไขโดยทางวิชาการ แต่เวลาเราจะแก้ไขกิเลส ศีล มันต้องมีสมาธิเข้ามา เกิดปัญญาญาณ ภาวนามยปัญญา มันชำระล้าง

ติดใจตรงนี้ ติดใจตรงเวลาปัญญามันเกิดขึ้น ที่เรารู้เราเห็นของเรา เวลาที่รถคว่ำ มันเป็นอย่างนี้เลย มันเห็นแล้วมัน โอ้โฮ! ภาษาเรานะ เราภาวนาเกือบเป็นเกือบตาย เออ! อย่างนี้มันเกิดขึ้นอย่างนี้ มันแบบว่ามันฟลุกน่ะ อย่างนี้ดีกว่า แต่อย่างนี้เสี่ยงชีวิตนะ เสี่ยงชีวิตเลยล่ะ แต่เวลาที่มันเกิดขึ้นกับการภาวนา โอ้โฮ! มันสุดยอด เวลามันอยู่ในรถมันหมุนไปอย่างนี้ ปัญญามันหมุนไปหมด แล้วจิตมันบอกเลย “ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหา รอให้รถมันหยุด รอให้รถมันหยุดแล้วเดี๋ยวออกไป” แต่มันอันตราย อันนี้มันเกิดเพราะอุบัติเหตุ

แต่เวลาเราทำของเราเอง เราทำของเราเอง เราภาวนาของเราเองด้วยการอดนอนผ่อนอาหาร ด้วยการทำต่างๆ ขึ้นมา อันนี้สำคัญ สำคัญขึ้นมา เราทำเป็นสมบัติของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ นี่ธรรม

ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ ถึงมันจะตกทุกข์ได้ยากก็มีคนช่วยเหลือเจือจาน ถึงจะเกิดอุบัติเหตุ มันก็มีสิ่งที่เป็นบุญกุศลรองรับ ทำให้แคล้วคลาด ทำให้สิ่งต่างๆ เพราะมันยังไม่ถึงที่ไง ถ้ามันถึงที่นะ มันก็ตาย ถ้าถึงที่ตาย แต่มันไม่ถึงที่ เพราะมันบอกอยู่แล้วตั้งแต่มันหมุนอยู่กลางถนนอยู่แล้ว “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหาหรอก ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น รอให้รถมันหยุด รถหยุดแล้วเราก็ออกไป”

มันมีคุณธรรม มันได้สัมผัส มันได้สัมผัส ได้รสของธรรม ได้ต่างๆ แต่มันเอาชีวิตเข้าแลกนะ แต่ถ้าเวลาปฏิบัติ เราเคยเอาชีวิตเข้าแลกไหม? เราก็เคยเอาชีวิตเข้าแลกมาพอแรงแล้ว แต่เอาชีวิตเข้าแลกด้วยการบังคับข่มขี่ทำลายกิเลส แต่อันนี้ชีวิตเข้าแลก เข้าแลกด้วยความพ้นจากอุบัติเหตุเท่านั้น มันแตกต่างกันมหาศาล นี่คุณธรรมเกิดขึ้นแบบนี้ เราปฏิบัติ เห็นไหม “ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครอง” เอวัง